ในอดีต แมวกับเสือเป็นสัตว์ที่รักกันมาก แต่ด้วยคุณลักษณะพิเศษของแมว บางประการที่เสือทำไม่ได้ เช่น การเดินได้อย่างแผ่วเบา จนแทบไม่ได้ยินเสียง ความสามารถในการขึ้นต้นไม้ได้อย่างรวดเร็ว การตะครุบเหยื่อได้รวดเร็วไม่พลาดเป้าหมาย เพราะสามารถย่องเข้าหาเหยื่อได้เงียบกริบ จนเหยื่อไม่ได้ยินเสียง ซึ่งใน
ขณะนั้นเสือยังเป็นสัตว์ที่ไม่มีความสามารถอะไร เหมือนในปัจจุบัน ทำให้ความเป็นอยู่หรือการล่าเหยื่อเพื่อเป็นอาหาร ลำบากและด้วยความเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เสือจึงขอร้องให้แมวช่วยสอนความสามารถพิเศษ ต่าง ๆ ดังกล่าวให้โดยยอมลดตัวเป็นลูกศิษย์ของแมว ทั้ง ๆ ที่เป็นสัตว์ซึ่งมีขนาดรูปร่าง ใหญ่โตกว่าแมวหลายเท่า แมวเห็นว่าเสือเป็นเพื่อนรัก จึงยอมถ่ายทอดวิธีการเดินได้อย่างแผ่วเบา การย่องหาเหยื่อ การขึ้นต้นไม้ ซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษของแมวให้ บังเอิญแมวมา ฉุกคิดถ้าสอนวิธีการต่าง ๆ ให้เสือจนหมด หากเสือคิดหักหลัง จับแมวกินเป็นอาหารย่อมรอดพ้นอันตรายได้ยาก จึงไม่สอนวิธีไต่ไม้อันเดียว เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการเอาตัวรอด ส่วนเสือเมื่อได้เรียนรู้วิธีการต่างๆจากแมวแล้ว ก็มีความคิดไม่ซื่อดังที่แมวคาดเอาไว้ ด้วยการพาลหาเรื่องกับแมวเพื่อจับกินเป็นอาหาร แมวจึงวิ่งหนีขึ้นต้นไม้เสือก็วิ่งตาม ดังนั้นแมวจึงใช้วิธีไต่กิ่งไม้จากต้นไม้นี้ไปต้นไม้โน้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นวิชาที่แมวไม่ได้สอนเสือ ทำให้เสือต้องลงจากต้นนั้น ไปขึ้นต้นไม้ใหม่ที่แมวไต่อยู่ ทำอย่างนี้เป็นเวลานาน เสือยังไม่สามารถจับแมวได้ขณะที่ตัวเองเริ่มอ่อนแรงและเหนื่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เสือยิ่งโกรธแมวหนักขึ้นเพราะรู้ว่าแมวไม่ได้สอนวิชาให้ทั้งหมด จึงกล่าวอาฆาตแมวไว้ว่า ต่อไปนี้เสือจะจับแมวกินเป็นอาหารชั่วลูกชั่วหลาน แต่หากจับแมวกินไม่ได้ แม้จะเจอแต่ขี้ของแมวก็จะกินเสียให้หมด เมื่อแมวได้ยินดังนั้นจึงเกิดความกลัวว่าเสือจะตามกินแมวและลูกหลานของตนตามที่ได้กล่าวคำอาฆาตไว้ จึงปลูกฝังนิสัยให้แมวขุดหลุมเมื่อขี้หรือเยี่ยว แล้วเขี่ยดินกลบฝังทุกครั้งทันทีที่ทำธุระเสร็จ เพื่อกลบเกลื่อนหลักฐานไม่ให้เสือตามกินขี้หรือ ตามร่องรอยของแมวได้ และกลายเป็นพฤติกรรมของแมวที่เราพบเห็นกันในปัจจุบัน